1. Present Tense ประโยคปัจจุบันกาล

Present Simple
     ประโยคแบบแรกก็คือ ประโยคที่พบกันได้บ่อยที่สุด และง่ายที่สุดเพราะสามารถแปลตามตรงได้ทันที (หากไม่มีเรื่องน้ำเสียงเข้ามาเกี่ยวข้อง) โดยประโยคส่วนใหญ่ของภาษาอังกฤษก็จะเป็นไปในลักษณะ S+V+O (ประธาน กริยา กรรม) ซึ่งเหมือนกับภาษาไทย การแปลประโยคเช่นนี้ก็เหมือนที่ผมได้กล่าวไปเมื่อสักครู่ คือ แปลตามตรงได้ทันทีเลยครับ แต่ก็มีที่แอบแฝงบ้างนะครับ แต่ก่อนจะแปลกันได้ก็ต้องไปดูลักษณะของ Present Simple กัน ก่อนแปลด้วยน่ะค่ะ
     ต่อไปนี้เราจะมาดูรูปประโยคกันเลยละกันครับผม
     ลักษณะของรูปประโยค คือเมื่อใช้ประโยคในการอธิบายให้ดูที่นาม หรือ สรรพนาม หากเป็นนามเอกพจน์ ก็จะเติม s, es ลงหลังกริยา แต่หากเป็นพหูพจน์ก็ไม่ต้องเติมอะไรลงไปในกริยาที่ตามมา ดังตัวอย่าง ซึ่งเวลาแปลนั้นอย่าหลงกล ว่า s, es ที่ตามท้ายมาจะหมายความว่ามากกว่า 1 เพียงอย่างเดียวนะค่ะ
I run.     ฉันวิ่ง
You go to school.     คุณไปโรงเรียน
He walks.     เขาเดิน
She plays piano.     เธอเล่นเปียโน
แยกให้ดูกันชัดๆได้ดังนี้
ชนิด                                 สรรพนาม Subject                            กริยา Verb
พหูพจน์                        I, You, We, They                             ใช้ Verb  ตัวนั้นได้เลย
                                   ประธานที่เป็นกลุ่ม
                                   หรือ 2 คนขึ้นไป
เอกพจน์                         He, She, It                                     กลุ่ม 1 เติม s
                                  ประธานที่เป็นคนคนเดียว                       กลุ่ม 2 เติม es
                                  หรือสิ่งของสิ่งเดียว                              กลุ่ม 3 เปลี่ยน y เป็น i
                                                                                         แล้วเติม es
การใช้ประโยค Present Simple
      ประโยค Present Simple นั้น มีจุดประสงค์การใช้ในเรื่องที่เกี่ยวกับ 2 อย่างได้แก่
      Habits  คือ สิ่งที่ทำอยู่เป็นประจำจนเป็นนิสัย
      States  คือ สภาพ แต่เป็นสภาพที่ไม่ค่อยจะเปลี่ยนแปลง
โดย 2 ลักษณะดังกล่าวเราก็จะกระจายเป็นสถานการณ์ดังต่อไปนี้
1. ใช้กับเหตุการณ์ที่ทำจนเป็นนิสัย
     He goes to the library at 10 a.m. every day.
     เขาไปห้องสมุดเวลา 10 โมงเช้าทุกวัน
     สังเกตคำว่า Every day น่ะค่ะ เพราะเป็นตัวบ่งชี้ว่าเป็นการกระทำที่ทำอยู่เป็นประจำ
     
     Sarin always tell about his car.
     สารินมักเล่าเกี่ยวกับรถของเขา (สารินมักเล่าเรื่องรถของเขา)
     ในตอนนี้จะเห็นการใช้ Adverb of Frequency (คำคุณศัพท์ช่วยบอกความต่อเนื่อง) เช่น ในประโยคนี้ใช้คำว่า always เป็นตัวบอกว่าสิ่งนี้ทำอยู่เป็นประจำ
     There is a lot of rain in July. 
     ฝนตกมากในช่วงเดือนกรกฏาคม
     เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำโดยไม่จำเป็นต้องใช้คำบ่งบอกความต่อเนื่องก็ได้ค่ะ อย่างในตัวอย่างนี้ก็พูดถึงข้อเท็จจริง แต่เวลาเราแปลในส่วนนี้ไม่ต้องสนใจเท่าไหร่ค่ะ เนื่องจากเป็นประโยคที่แปลตรงรูปได้เลยค่ะ
     Jessy spends Christmas’ time with his parents.
     เจนนี่ใช้เวลาช่วงคริสต์มาสกับพ่อแม่ของเขา
     ระวัง ในตัวอย่างนี้แม้ไม่ต้องใช้คำว่า every หรือ always แต่ก็ยังให้ความหมายถึงว่าทุกปี แฝงไว้อยู่ แต่หากพูดในลักษณะหนึ่งคือ Jessy spent Christmas’s time with his parents. ความหมายก็จะกลายเป็น เจสซี่ใช้เวลาช่วงคริสต์มาสกับพ่อแม่ของเขา (ครั้งใดครั้งหนึ่ง แต่ผ่านมาแล้ว) ไม่ใช่บ่งบอกว่าเมื่อใด รู้เพียงว่าเป็นอดีตไปแล้วแค่นั้นเองน่ะค่ะ
2. เหตุการณ์ที่ทำแล้วเป็นจริงเสมอ หรือบางกรณีเป็นข้อมูลที่ยังคงเป็นความจริง
    I live in Bangkok.  ฉันอยู่ในกรุงเทพมหานคร
     ข้อมูลเป็นสภาพที่เปลี่ยนแปลงได้ยาก เช่น พวกที่อยู่ แต่ให้ระวังประโยคแบบนี้ก็สามารถพูดออกมาในอีกลักษณะหนึ่งก็ได้ คือ I have been living in Bangkok for a while. ก็จะหมายความว่าฉันอยู่ในกรุงเทพมหานครมาช่วงเวลาหนึ่ง ถ้าเมื่อไหร่ที่ระบุเวลาลงไปในประโยค จะต้องเปลี่ยนรูปประโยคไปด้วย
   He is Christian.  เขาเป็นชาวคริสต์
     ข้อมูลในประโยคนี้เป็นการบอกสภาพของบุคคล ในลักษณะของการกล่าวถึง เชื้อชาติ สัญชาติ ศาสนา ในกรณีเหล่านี้เราก้สามารถใช้ลักษณะรูปประโยคแบบ Present Simple ในการกล่าวเรื่องเหล่านี้ได้ทันที