วันนี้เราจะมาในหัวข้อที่ 5 กัน เรื่อง  Absolute Phrase ครับ หรือที่เรียกว่า วลีกริยา นั่นเอง มาดูซิว่า มันมีหน้าที่อย่างไร ก่อนที่จะเข้าสู่เนื้อหา ผมก็ขอย้อนอดีตอีกเช่นเคย ผมคงแก่แล้วจริงๆ ชอบพูดเรื่องเก่า เรื่องมีอยู่ว่า
 ตอนเรียนอยู่มัธยม ผมมีเพื่อนคนหนึ่ง เป็นคนตาเหล่ เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Squint..ตาเหล่มาก สังเกตุเห็นได้ชัดเลย..มันเลยโดนแซวตลอดเวลาที่มันถูกเรียกให้ไปทำแบบฝึกหัดหน้าห้อง ตัวผมเองก็เคยแซวมันอยู่ครั้งหนึ่ง พอเวลาผ่านไปคือพอเรียนจบออกมาทำงาน เจอคนมากขึ้น หวนนึกถึงเพื่อนคนนี้แล้วรู้สึกผิดอยู่เหมือนกันที่เคยแซวเพื่อนแบบนั้น…..เพราะมาทราบภายหลังว่าจริงๆแล้วคนเราก็ตาเหล่กันแทบจะทุกคน เพียงแต่จะเหล่มากเหล่น้อยแค่นั้นเอง….เอาเถิดเรื่องมันผ่านมาแล้ว มาเรียนภาษาอังกฤษ เรื่อง Absolute Phrase ดีกว่า ฟังผมบ่นมากไปจะไม่ได้ความรู้อะไร ได้แต่เรื่องไร้สาระซะเปล่า ๆ เหอๆ

5. Absolute Phrase (วลีกริยา)

ได้แก่ phrase ที่มีลักษณะคล้ายกับเป็นประโยค แต่ก็ไม่ใช่ประโยค เพราะไม่มีกริยาแท้ (Finite Verb) เพียงแต่มีคำซึ่งทำหน้าที่คล้ายกับกริยาประกอบอยู่หลังคำนามเท่านั้น แบ่งออกเป็น 3 ชนิดคือ

1)Absolute Phrase ซึ่งใช้รูปกริยาเติม ing หรือรูปกริยาช่อง 3ไปประกอบหลังนาม เช่น
The train being late, they had to stay overnight at the station.

เนื่องจากรถไฟมาล่า (กว่ากำหนด) พวกเขาจึงจำต้องพักค้างคืนอยู่ที่สถานี

The pagoda ruined, the Department of Fine Arts had to repair it.

เนื่องจากเจดีย์นั้นหักพัง กรมศิลปากรจึงจำต้องซ่อมแซม

(the train being late, และ the pagoda ruined เป็นวลีอิสระทำหน้าที่คล้าย Adverb ไปขยาย stay และ repair)

2)Absolute Phrase ซึ่งใช้รูป having + กริยาช่องที่ 3 หรือ having been + กริยาช่องที่ 3 แล้วนำไปใช้ประกอบหลังนาม เช่น

The sun having set, they didn’t go back home.
เมื่อดวงอาทิตย์ตกแล้ว พวกเขาก็ยังไม่กลับบ้าน

The house having been burnt, we had to live under the tree.

เนื่องจากบ้านได้ถูกไฟไหม้ พวกเราจึงจำเป็นต้องอาศัยอยู่ใต้ต้นไม้

(the sun having set และ the house having been burnt เป็น Absolute Phrase ทำหน้าที่อย่าง Adverb ไปขยายกริยา go และ live)

ข้อสังเกต : Absolute phrase ต้องใช้ comma คั่นเพื่อแยกออกจากประโยคใหญ่เสมอ (ตามตัวอย่างที่ยกมาให้ดู)

3)Absolute Phrase ซึ่งไม่มีรูปกริยาใดๆ เลย phrase ในข้อนี้ อันที่จริงก็เหมือนการสร้างประโยคธรรมดาทั่วไปนั่นเอง เพียงแต่ไม่ใส่กริยาเอาไว้เท่านั้น (น่าจะเป็นเพราะละไว้ในฐานที่เข้าใจแล้วเพื่อกระตุ้นให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกผิดไปจากปกติเท่านั้นเอง) เช่น

I stared at the stranger, my bare hands on the table.

ผมจ้องไปยังคนแปลกหน้า โดยมีมืออันว่างเปล่าของผมวางอยู่บนโต๊ะ

(น่าจะมาจากประโยคสมบูรณ์แบบว่า……..my bare hands were on the table.)

The old mining town was utterly deserted, its streets gray and dead.

เมืองซึ่งเคยเป็นเมืองเหมืองแร่มาก่อนได้ถูกละทิ้งอย่างสิ้นเชิง ถนนสายต่างๆ ปกคลุมไปด้วยฝุ่นและเงียบสงัด (จนน่ากลัว)

(น่าจะมาจากประโยคสมบูรณ์แบบว่า…………..its streets were gray and dead.)

(My bare hands on the table และ is streets gray and dead เป็นวลีอิสระ ซึ่งไม่มีรูปกริยาใดๆ ทำหน้าที่คล้าย Adverb ไปขยายกริยา stared at the deserted)